AI พลิกโฉมวิศวกรรมซอฟต์แวร์  #ComSciUTCC

https://science.utcc.ac.th/blogs/ai-innovation-in-software-engineering

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence AI) มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ปฏิวัติวงการวิศวกรรมซอฟต์แวร์อย่างแท้จริง AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การเขียนโค้ด การทดสอบ ไปจนถึงการบำรุงรักษา ทำให้กระบวนการทำงานมีความรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Jordan & Mitchell, 2015) บทความนี้กล่าวถึงบทบาทของ AI ในวิศวกรรมซอฟต์แวร์ พร้อมตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวงการวิศวกรรมซอฟต์แวร์อย่างไร

บทบาทของ AI ในวิศวกรรมซอฟต์แวร์

การสร้างโค้ดอัตโนมัติ

1. การสร้างโค้ดอัตโนมัติ

AI ได้ปฏิวัติวิธีการเขียนโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง GitHub Copilot ซึ่งใช้โมเดลภาษา GPT-4 เพื่อช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และ OpenAI Codex ซึ่งใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เพื่อแนะนำและสร้างโค้ดให้กับนักพัฒนาได้อย่างแม่นยำ (Chen et al., 2021) เช่น Microsoft รายงานว่า Copilot ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดได้เร็วขึ้นถึง 30% ซึ่งไม่เพียงลดเวลาในการพัฒนา แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเขียนโค้ดด้วยมือ (Zhang et al., 2022)

ตัวอย่างเพิ่มเติม นักพัฒนาสามารถใช้ Copilot เพื่อสร้างฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น การคำนวณหรือการจัดการข้อมูล โดยเพียงแค่พิมพ์คำอธิบายสั้น ๆ AI จะสร้างโค้ดให้อัตโนมัติ ทำให้สามารถโฟกัสไปที่การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ Copilot ยังสามารถช่วยในการเขียนโค้ดสำหรับภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เช่น Python, JavaScript, และ C++ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การทดสอบซอฟต์แวร์

การทดสอบซอฟต์แวร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญและใช้เวลามาก แต่ AI สามารถช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเครื่องมือเช่น Test.ai และ Applitools ที่ใช้ AI ในการตรวจจับข้อผิดพลาดใน UI และฟังก์ชันต่าง ๆ ของแอปพลิเคชัน (Menzies & Pecheur, 2019) นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์ชุดทดสอบและระบุกรณีที่อาจเกิดข้อผิดพลาดล่วงหน้าได้ ช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการทดสอบ

ตัวอย่างเพิ่มเติม Applitools ใช้ AI ในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ UI โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถตรวจสอบความถูกต้องของ UI ได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ Test.ai ยังสามารถสร้างชุดทดสอบอัตโนมัติโดยการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้และสร้างกรณีทดสอบที่ครอบคลุม

3. การบำรุงรักษาและการตรวจจับข้อผิดพลาด

AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจจับข้อผิดพลาดของโค้ดได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น IBM Watson ใช้ AI ในการวิเคราะห์บันทึกข้อผิดพลาด (log files) และแจ้งเตือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระบบซอฟต์แวร์ (Murphy et al., 2020) นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเช่น DeepCode ที่ใช้ AI ในการตรวจสอบโค้ดและแนะนำการแก้ไขที่ดีที่สุดให้กับนักพัฒนา

ตัวอย่างเพิ่มเติม DeepCode สามารถวิเคราะห์โค้ดหลายล้านบรรทัดในเวลาไม่กี่วินาที และเสนอแนะการแก้ไขที่ช่วยลดความเสี่ยงของบั๊กในระบบ เช่น หากมีโค้ดที่อาจทำให้เกิด memory leak, DeepCode จะแจ้งเตือนและแนะนำวิธีแก้ไขทันที

4. การจัดการโครงการซอฟต์แวร์

AI ช่วยในการจัดการโครงการซอฟต์แวร์ โดยการวิเคราะห์และคาดการณ์เวลาการพัฒนาโปรเจกต์จากข้อมูลในอดีต เครื่องมือเช่น ClickUp และ Monday.com ใช้ AI ในการวิเคราะห์เวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนและช่วยผู้จัดการโครงการวางแผนได้ดีขึ้น

ตัวอย่างเพิ่มเติม ClickUp ใช้ AI เพื่อคาดการณ์เวลาที่จะใช้ในการพัฒนาโปรเจกต์ โดยพิจารณาจากข้อมูลของทีมและโครงการที่คล้ายกันในอดีต ทำให้สามารถวางแผนทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Monday.com ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของทีมและเสนอแนะการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

5. การปรับปรุงคุณภาพโค้ด

AI ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพโค้ดด้วยเครื่องมือเช่น SonarQube และ Codacy ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์โค้ดและระบุจุดที่สามารถปรับปรุงได้ เช่น การลดความซับซ้อนของโค้ด หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของอัลกอริทึม

ตัวอย่างเพิ่มเติม SonarQube ใช้ AI ในการวิเคราะห์โค้ดและระบุปัญหาด้านความปลอดภัย เช่น การใช้ฟังก์ชันที่ไม่ปลอดภัย หรือการเข้าถึงข้อมูลที่อาจทำให้เกิดช่องโหว่ในระบบ

6. การสร้างเอกสารอัตโนมัติ

AI ช่วยในการสร้างเอกสารสำหรับโค้ดโดยอัตโนมัติด้วยเครื่องมือเช่น Sphinx และ Doxygen ที่ใช้ AI ในการสร้างเอกสารจากโค้ดที่เขียนไว้ ทำให้ลดเวลาและความผิดพลาดในการเขียนเอกสารด้วยมือ

ตัวอย่างเพิ่มเติม Sphinx ใช้ AI ในการสร้างเอกสาร API จากโค้ด Python โดยอัตโนมัติ ทำให้ทีมพัฒนาสามารถโฟกัสไปที่การเขียนโค้ดแทนการเขียนเอกสาร

กรณีศึกษาการใช้ AI ในการพัฒนาซอฟต์แวร์

1. Facebook และการใช้ AI ในการตรวจจับบั๊ก

Facebook ใช้เครื่องมือ AI ที่ชื่อว่า SapFix

Facebook ใช้เครื่องมือ AI ที่ชื่อว่า SapFix เพื่อช่วยนักพัฒนาระบุและแก้ไขข้อผิดพลาดของโค้ดได้อัตโนมัติ โดย AI จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตและเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม (Bailis et al., 2018) ซึ่งช่วยลดเวลาในการแก้ไขบั๊กได้อย่างมีนัยสำคัญ

SapFix ทำงานโดยการวิเคราะห์โค้ดที่ส่งเข้ามาในระบบ และเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของบั๊กที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ AI จะสร้างแพตช์แก้ไขอัตโนมัติและเสนอให้กับนักพัฒนาเพื่อตรวจสอบและนำไปใช้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ Facebook สามารถลดเวลาในการแก้ไขบั๊กลงได้ถึง 50% และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเห็นได้ชัด

2. Google และการใช้ AI ใน DevOps

Google และการใช้ AI ใน DevOps

Google ใช้ AI ในการพัฒนา Site Reliability Engineering (SRE) โดยใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลและทำนายปัญหาของระบบก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง ทำให้สามารถลด downtime ของระบบได้ถึง 40% (Barroso et al., 2017) Google ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบต่าง ๆ เช่น การใช้งาน CPU, memory, และ network traffic เพื่อทำนายปัญหาที่อาจเกิดขึ้น AI จะแจ้งเตือนทีม SRE ก่อนที่ระบบจะล้มเหลว ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือ Google สามารถลดเวลา downtime ของระบบลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริการต่าง ๆ เช่น Google Search, YouTube, และ Gmail

3. Netflix และ AI ในการปรับปรุงซอฟต์แวร์สตรีมมิ่ง

Netflix และ AI ในการปรับปรุงซอฟต์แวร์สตรีมมิ่ง

Netflix ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ เช่น ความนิยมของเนื้อหา เวลาที่ใช้ในการสตรีม และความเร็วของอินเทอร์เน็ต และยังใช้ AI ในการตรวจจับข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสตรีมมิ่ง โดย AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้และคาดการณ์แนวโน้มของปริมาณการใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้าของเซิร์ฟเวอร์ (Gopalakrishnan et al., 2021) AI จะทำนายปริมาณการใช้งานในเวลาจริงและปรับการจัดสรรทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้คือ Netflix สามารถลดปัญหาความล่าช้าในการสตรีมได้ถึง 30% และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้อย่างมีนัยสำคัญ

สรุป

ด้วยความก้าวหน้าของ AI ในปัจจุบัน บทบาทของ AI ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ตั้งแต่การช่วยสร้างโค้ดอัตโนมัติ การทดสอบซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการบำรุงรักษา ตรวจจับข้อผิดพลาด และเพิ่มคุณภาพของซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Facebook, Google และ Netflix